Karsten Solheim ผู้ปฏิวัติวงการกอล์ฟโลก.
Karsten Solheim ผู้ให้กำเหนิดไม้กอล์ฟ PING และเป็นผู้ปฏิวัติเทคโนโลยี่วงการกอล์ฟโลกมากมาย จนได้รับรางวัล World Golf Hall of Fame

ผลงานของ Karsten Solheim ที่ได้รับการจดบันทึกเข้าสู่
World Golf Hall of Fame
1. การผลิตใบเหล็กโดยใช้วิธีการหล่อ ( CASTING)
2. ออกแบบใบเหล็กให้มีการกระจายน้ำหนัก
3. การทำ Custom-Fitting
4. ระบบจุดสี
5. การอบความร้อนให้เหล็กมีความนุ่มและโมเลกุลเรียงตัวอย่างสม่ำเสมอ ( Heat Treating Process)
6. เครื่องวัด Loft and Lie
7. สร้าง " L " Wedge
8. จัดทำระบบ Serial number
9. สร้างหุ่นยนต์ทดสอบไม้กอล์ฟ "PING MAN"
1. การผลิตใบเหล็กโดยใช้วิธีการหล่อ ( CASTING) |
ตั้งแต่มีการเริ่มต้นเล่นกีฬากอล์ฟ ใบเหล็กจะทำจากเหล็กคาร์บอนสตีลล์ (FORGED) โดยทำเหล็กให้ร้อนแล้วใช้การตีขึ้นรูปเป็นใบเหล็ก ซึ่งใช้กันมานาน จน Karsten Solheim เป็นบุคคลแรกที่คิดค้นใบเหล็กที่ทำจากการหล่อ (Casting) โดยนำเนื้อเหล็กไปหลอมจนเป็นของเหลว แล้วจึงเทลงไปในแม่พิมพ์ และได้ใบเหล็กของไม้กอล์ฟในที่สุด วิธีการผลิตใบเหล็กแบบการหล่อ (Casting) จึงได้รับความนิยมอย่างมากจนถึงปัจจุบัน เพราะสามารถทำได้สะดวกและรวดเร็ว


2. ออกแบบใบเหล็กให้มีการกระจายน้ำหนัก |
ใบเหล็กแบบดั้งเดิมจะมีลักษณะแผ่นบางๆ ซึ่งตียากและไม่ค่อยมีความแน่นอนแม่นยำ Karsten Solheim จึงคิดค้นใบเหล็กที่มีการกระจายน้ำหนักที่ดี โดยออกแบบให้ใบเหล็กมีแอ่งอยู่ด้านหลัง (CAVITY BACK) ซึ่งช่วยให้ใบเหล็กมีขนาดของหน้าไม้ใหญ่ขึ้น ชดเชยความผิดพลาดให้กับนักกอล์ฟสูงขึ้น แม้ตีไม่โดนกลางหน้าไม้ ก็ยังสามารถส่งให้ลูกกอล์ฟลอยไปได้ไกล ไม่เสียระยะ และลดอาการสะท้านมือได้อย่างน่าประหลาดใจ จึงนับได้ว่า PING เป็นไม้กอล์ฟเจ้าแรกที่มีใบเหล็กในลักษณะนี้ และเป็นต้นแบบให้กับไม้กอล์ฟรายอื่นๆในโลกของอุตสาหกรรมกอล์ฟ.

Karsten Solheim เป็นวิศวกรที่รักในกีฬากอล์ฟอย่างสุดขั้วหัวใจ และคิดว่าในเมื่อสรีระของนักกอล์ฟแต่ละคนไม่เท่ากัน ดังนั้นจึงน่าจะมีความแตกต่างกันไปสำหรับไม้กอล์ฟในของแต่ละคน Karsten Solheim จึงเริ่มทำระบบ Custom-Fitting ขึ้นเป็นรายแรกของวงการกอล์ฟ โดยเน้นในเรื่องของมุมของไม้กอล์ฟ (Lie Angle) แต่ขั้นตอนยังยุ่งยากและใช้เวลามากในการทำในระยะแรก

ต่อเนื่องมาจากการทำระบบ Custom Fitting ของ Karsten Solheim ซึ่งมีความยุ่งยากและใช้ระยะเวลาในการทำนาน เขาจึงคิดค้นถึงระบบที่จะทำให้การทำ Custom Fitting ง่ายและไม่ยุ่งยาก จนในที่สุดก็มาเป็นระบบจุดสี โดยใช้วิธีการวัดส่วนสูงและความสูงของข้อมือจากพื้น ของนักกอล์ฟแต่ละคน แล้วนำค่าที่วัดได้ทั้ง 2 ค่ามาประมวลผลในตารางสีของ PING ซึ่งจุดสีแต่ละสีก็จะมี Lie Angle ที่แตกต่างกัน และจะเป็นมุมที่ถูกต้องเหมาะสมกับสรีระของนักกอล์ฟท่านนั้นๆ
Karsten Solheim ได้ทำการจดสิทธิบัตรระบบจุดสีนี้ไว้ จึงเป็นเอกสิทธิ์ของ PING แต่เพียงผู้เดียว ในการทำ Custom Fitting ในระบบนี้.

5. การอบความร้อนให้เหล็กมีความนุ่มและโมเลกุลเรียงตัวอย่างสม่ำเสมอ
( Heat Treating Process) |
ด้วยการที่ Karsten Solheim เป็นวิศวกรที่เก่งและคิดที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์อยู่ตลอดเวลา จากการที่เขาเป็นคนคิดการผลิตใบเหล็กด้วยวิธีการหล่อ แต่เหล็กที่ได้จากการหล่อนั้นจะมีความแข็งมากเกินไป และโมเลกุลของเนื้อเหล็กก็เรียงตัวกันอย่างไม่สม่ำเสมอ
Karsten Solheim จึงได้คิดค้นวิธีที่จะทำให้ใบเหล็กที่เกิดจากการหล่อมีเนื่อเหล็กที่นุ่มลง เพื่อการดัด Lie Angle ให้ตรงกับระบบของจุดสีได้ โดยการนำใบเหล็กที่ได้จากการหล่อ ไปอบในเตาอบด้วยความร้อนสูง (Heat-treating Process) จนได้ความนุ่มที่เหมาะสม ได้ค่าความแข็ง Rockwell Scale-32 และมีการเรียงตัวของโมเลดุลอย่างสม่ำเสมอขึ้น
ภาพแสดงการเรียงตัวของโมเลกุลของเนื้อเหล็ก ก่อนและหลังการทำ Heat-treating Process จนโมเลกุลของเนื้อเหล็กเรียงตัวกันอย่างสม่ำเสมอ และมีค่าความแข็งลดลง จาก 60 เหลือเพียง 32
หมายเหตุ.ค่าความแข็งของโลหะ Rockwell Scale อยู่ที่ 1-80 (ปรอทเป็นโลหะที่อ่อนที่สุด มีค่าเท่ากับ =1 ส่วนเพชรเป็นโลหะที่แข็งที่สุด มีค่าเท่ากับ =80 ) โลหะที่ใช้ทำใบเหล็กของ PING คือ Stainless เบอร์ 17-4 ซึ่งเมื่อผ่านการหลอมและแข็งตัวแล้วจะมีความแข็ง Rockwell Scale อยู่ที่ 60 ส่วนเหล็กคาร์บอนสตีลล์ (FORGED) มีค่า Rockwell Scale อยู่ที่ 28

6. เครื่องวัด Loft and Lie |
Karsten Solheim เป็นคนแรกที่ทำเครื่องวัด Loft and Lie ของหัวไม้กอล์ฟ ซึ่งมีความสำคัญเป็นอย่างมากในอุตสาหกรรมกอล์ฟ และองศาของหน้าไม้นี่เองที่เป็นตัวกำหนดเบอร์ของเหล็กภายในชุดเหล็ก เป็นการสร้างมาตราฐานที่สำคัญของวงการกอล์ฟอีกอย่างหนึ่งของ Karsten Solheim

Karsten Solheim เป็นคนสร้าง LOP Wedge เป็นคนแรก L-Wedge ตัวแรกของโลกก็คือ L-Wedge ของ PING ที่สร้างโดย Karsten Solheim นั่นเอง โดยมีองศาหน้าไม้อยู่ที่ 60 องศา

8. จัดทำระบบ Serial number |
Karsten Solheim เป็นผู้ริเริ่มจัดทำระบบ Serial Number ซึ่งจะสลักติดอยู่ที่คอของใบเหล็ก Serial Number มีประโยชน์ในด้านการเก็บข้อมูลของชุดเหล็กนั้นๆ โดยจะบ่งบอกว่า ชุดเหล็กชุดนั้น เป็นรุ่นอะไร ,จุดสี , Flex และชนิดของก้าน , ความยาวของก้าน , ขนาดและรุ่นของ Grip , จำนวนชิ้นภายในชุด และวันเดือนปีที่ผลิต ซึ่ง PING ให้ความสำคัญในเรื่องของข้อมูลของสินค้าและจัดเก็บเป็นไว้ตลอดเวลา
ทำให้ PING เหนือกว่าไม้กอล์ฟในยี่ห้ออื่นคือ ลูกค้าสามารถสั่งซื้อเหล็กเพียงชิ้นเดียวได้ ในกรณีที่เหล็กนั้นชำรุดหรือหายไป เพียงแจ้ง Serial Number มายังบริษัทฯ ทางโรงงานที่อริโซน่า สหรัฐอเมริกา ก็จะสามารถผลิตไม้กอล์ฟมาให้ได้ ตามข้อมูลจาก Serial Number นั้นๆ ลูกค้าก็จะได้ไม้กอล์ฟตรงตามสเปคเดิมทุกประการ

9. สร้างหุ่นยนต์ทดสอบไม้กอล์ฟ "PING MAN" |
จากการที่มีโรงงานผลิตไม้กอล์ฟ PING เป็นของตนเอง Karsten Solheim จึงคิดค้นสร้างหุ่นยนต์ เพื่อใช้ในการทดสอบไม้กอล์ฟ PING ที่ผลิตขึ้นมาจากโรงงาน เจ้าหุ่นยนต์ "PING MAN" จึงถูกสร้างขึ้นมา และได้รับการยอมรับว่า เป็นหุ่นยนต์ที่มีจังหวะในการตี เหมือนกับคนตีมากที่สุด และมีความแม่นยำมากที่สุดอีกด้วย
ปัจจุบัน PING MAN ผ่านการพัฒนาจนสามารถทำความเร็วของ Club Head Speed ได้ถึง 180 mph และถูกสร้างขึ้นมาถึง 5 ตัวแล้ว


ประวัติของ Karsten Solheim (PING'S HISTORY) |
ความเป็นมาของครอบครัว
Karsten Solheim ผู้ก่อตั้ง PING เป็นชาวนอร์เวย์ เกิดเมื่อปี ค.ศ.1911 ครอบครัวของเขาได้ย้ายมาอยู่ประเทศสหรัฐอเมริกาเมื่อเขามีอายุเพียง 2 ปี บิดาของเขายากจน มีอาชีพเป็นช่างทำรองเท้า ทำให้เขาต้องทำงานหาเงินเรียนหนังสือตั้งแต่เด็ก แต่ด้วยความพากเพียรทำให้เขาเรียนจบวิศวกรรมเครื่องกล

เริ่มงานวิศวกรรมครั้งแรกกับบริษัท GE (General Electric) งานที่เขาทำในยุคแรก ๆ มีทั้งการสร้างระบบค้นหาผ่านดาวเทียม ออกแบบเครื่องบินไอพ่น สร้างเสาอากาศโทรทัศน์
เริ่มทำไม้กอล์ฟด้วยตนเอง
Karsten Solheim เริ่มเล่นกอล์ฟเมื่อตอนอายุ 43 ปี แต่มีสิ่งหนึ่งที่เขาทำได้ไม่ดีคือ การพัตกอล์ฟระยะ 3 ฟุต และนี่คือแรงบันดาลใจให้เขาลงทุนซื้อเครื่องหลอมเหล็กเพื่อทำพัตเตอร์ไว้ใช้เองในโรงรถของเขา พัทเตอร์อันแรกที่ Karsten Solheim ทำเป็นพัทเตอร์รูปทรงเป็นกล่องสี่เหลี่ยม โดยให้ชื่อว่า 1-A (ปี ค.ศ.1959)

ที่มาของคำว่า "PING"
Karsten Solheim เริ่มผลิตพัตเตอร์ของเขาออกขาย โดยทำเป็นธุรกิจเล็กๆ ภายในโรงรถของเขา แต่ก็ยังไม่ได้ตั้งชื่อยี่ห้อ จนวันหนึ่งเขาได้เอาพัตเตอร์ 1-A มาเคาะเล่นภายในห้องครัว เสียงที่เกิดจากการที่หน้าพัตเตอร์กระทบลูกแล้ว จะมีเสียงดัง ปิ้ง ภรรยาของเขาจึงบอกว่า นี่แหล่ะเป็นชื่อของยี่ห้อไม้กอล์ฟที่จะนำออกมาขาย จึงเป็นที่มาของชื่อว่า PING ซึ่งก็คือเสียงของลูกกอล์ฟเวลาปะทะกับพัตเตอร์ 1-A นั่นเอง

PING Putter "ANSER"
Karsten Solheim ใช้เวลาหลายปีที่จะทำพัตเตอร์ที่ถูกใจตัวเอง ให้ความแม่นยำและแน่นอนสูง เขาได้คิดค้นทำพัตเตอร์มีการกระจายน้ำหนักที่ดี (Heel-Toe Weighting) ในปี ค.ศ.1967 ซึ่งทำให้หน้าตาของพัตเตอร์แปลกแตกต่างไปจากเดิม ซึ่งก็คือพัตเตอร์ PING ANSER นั่นเอง ผู้คนจึงหัวเราะเขาและไม่ยอมรับพัตเตอร์ ANSER แต่ด้วยความเชื่อมั่นในประสิทธิภาพ เขาจึงตระเวนไปตามสนามกอล์ฟเพื่อนำพัตเตอร์ANSERไปให้โปรกอล์ฟลองใช้

Julius Boros เป็นโปรกอล์ฟคนแรกที่ใช้ ANSER Putter และชนะใน PGA TOUR ในรายการ Phoenix Open 1967 หลังจากนั้นก็มีโปรกอล์ฟที่มีชื่อเสียงหลายคนใช้พัตเตอร์ ANSER ของเขารวมทั้ง แจ็ค นิคคลอส, ชิชิ โรดิเกรซ และแกรี่ เพลเยอร์


และในที่สุด ANSER จึงเป็นพัตเตอร์ที่ได้รับการยอมรับจากโปรทั่วโลก และเริ่มทำให้ธุรกิจของKarsten Solheim เติบโตอย่างรวดเร็ว จากการสั่งซื้อของนักกอล์ฟและโปรจากทั่วโลก
และพัตเตอร์ ANSER ก็คือต้นแบบของพัตเตอร์ในปัจจุบัน ที่หลายยี่ห้อลอกเรียนแบบไปผลิตเป็นพัตเตอร์ในชื่อของตนเอง แต่รูปทรงก็คือรูปทรงที่มาจากพัตเตอร์ ANSER ของ PING นั่นเอง
การเริ่มต้นทำระบบ CUSTOM FITTING
ในปี ค.ศ. 1970 Karsten Solheim เริ่มให้ความสนใจในการทำCustom Club Fitting ให้กับบรรดานักกอล์ฟอาชีพที่เล่นอยู่ใน PGA TOUR, USA โดยช่วยปรับอุปกรณ์กอล์ฟของเขาเหล่านั้นให้เหมาะสมกับสรีระร่างกาย วิธีการคือ ใช้เหล็กซึ่งเป็นเหล็กที่แต่ละคนตีแล้วมั่นใจที่สุดแล้วปรับไม้กอล์ฟอื่น ๆ ทั้งชุดให้มี Loft และ Lie Angle ให้ไล่เลียงและเหมาะสมกันทั้งชุด มีหลายครั้งที่บรรดาโปรกอล์ฟเหล่านั้น ชนะการแข่งขันในอาทิตย์ต่อมา หลังจากได้ปรับแต่งอุปกรณ์กอล์ฟไป ดังนั้น Karsten Solheim จึงมีความเชื่อว่าการปรับแต่งไม้กอล์ฟให้เหมาะสมกับระดับฝีมือ จึงเป็นวิธีการที่จะช่วยให้นักกอล์ฟพัฒนาเกมส์กอล์ฟได้ยิ่งขึ้น

Karsten Solheim รู้ว่านักกอล์ฟส่วนใหญ่มักจะซื้อชุดกอล์ฟที่มีวางขายอยู่บนชั้นโชว์ทั่วไป โดยมิได้คำนึงถึงสรีระ และระดับฝีมือที่ตนมี ดังนั้นเขาจึงพัฒนาระบบจุดสีอันโด่งดังนี้ขึ้นมา โดยวัดระดับความสูง และระยะระหว่างปลายนิ้วถึงพื้น เพื่อเลือกสเปคของไม้ให้เหมาะสมกับสรีระร่างกาย เมื่อเวลาผ่านไป การทำ Custom Club Fitting ของ PING ไม่ได้หยุดยั้งอยู่แค่นั้น แต่กลับพัฒนาให้เกิดความเหมาะสมกับลักษณะสรีระที่แตกต่างกันของนักกอล์ฟแต่ละคนด้วย
เกียรติยศและความสำเร็จ.
Karsten Solheim นับเป็นบุคคลที่ทรงคุณค่าของวงการกอล์ฟโลก เขาได้เป็นผู้เปลี่ยนแปลงและพัฒนาให้อุปกรณ์กอล์ฟมีเทคโนโลยี่ที่ดีขึ้นเป็นอย่างมาก และประสบความสำเร็จสูงสุดในการทำธุรกิจอุตสาหกรรมกอล์ฟ จนได้รับให้เข้าสู่ World Golf Hall of Fame ในปี ค.ศ.2001 (หลังจากเสียชีวิตไปแล้ว 1 ปี ) และในปี ค.ศ.1988 ยังได้รับรางวัล "E" AWARD FOR EXPORT EXPANSION จากประธานาธิบดี Ronald Reagan อีกด้วย



